วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557


ประวัติปืน M4A1

เอ็ม 4 คาร์ไบน์ (M4 carbine) เป็นอาวุธปืนเล็กยาวอัตโนมัติที่พัฒนามาจากปืนเล็กยาวจู่โจมเอ็ม 16 ซึ่งเป็นปืนในตระกูล เออาร์-15 ที่ออกแบบโดยยูจีน สโตนเนอร์ให้แก่บริษัทอาร์มาไลท์ มีความยาวและน้ำหนักน้อยกว่าเอ็ม16 มีชิ้นส่วนกว่าร้อยละ 80 ที่ใช้งานร่วมกับปืนเอ็ม 16 เอ 2 ได้ เอ็ม4สามารถเลือกระบบการยิงได้แก่ กึ่งอัตโนมัติและการยิงทีละ 3 นัด (เหมือนเอ็ม16เอ2) ขณะที่เอ็ม4เอ1มี"ระบบอัตโนมัติ"แทนที่ระบบยิงทีละ 3 นัด
เอ็ม 4 คาร์ไบน์

ชนิดปืนเล็กยาวจู่โจม
สัญชาติอเมริกัน
บทบาท
ประจำการพ.ศ. 2540 - ปัจจุบัน
สงครามสงครามอัฟกานิสถาน สงครามอิรักสงครามกลางเมืองโคลัมเบีย
ประวัติการผลิต
บริษัทผู้ผลิตโคลต์ดีเฟนซ์
แบบอื่นเอ็ม4เอ1
ซีคิวบีอาร์
ข้อมูลจำเพาะ
น้ำหนัก2.7 กิโลกรัม (น้ำหนักเปล่า)
3.1 กิโลกรัม (กระสุน 30 นัด)
ความยาว33 นิ้ว (ยืดพานท้าย) 29.8 นิ้ว (พับพานท้าย)
ความยาวลำกล้อง14.5 นิ้ว

กระสุน5.56x45 ม.ม.นาโต้
การทำงานระบบแก๊ส ลูกเลื่อนหมุนตัวขัดกลอน ปลดล็อกด้วยแรงดันก๊าซเป่าห้องลูกเลื่อนโดยตรง
อัตราการยิง700–950 นัดต่อนาที
ความเร็วปากกระบอก910 เมตรต่อวินาที
ระยะหวังผล500 เมตร
ระบบป้อนกระสุนกระสุนในแม็กกาซีน 30 นัด

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

ประวัติ M1 Garand ของเก่าๆ


ประวัติ M1 Garand (ของเก่าๆ)

ปืน M1 Garand เป็นอาวุธปืนเล็กยาวประจำกายขนาด 0.30 นิ้ว ที่เข้าประจำการในกองทัพสหรัฐฯในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามเกาหลี ออกแบบโดยจอห์น ซี กาแรนด์ (John C. Garand) ชาวแคนาดา เชื้อสายฝรั่งเศส ตามโครงการจัดหาปืนเล็กยาวขนาด 0.30 นิ้วรุ่นใหม่ทดแทนปืนเล็กยาว M1903 Springfield ที่ทยอยปลดประจำการไปให้กองกำลังท้องถิ่น
ปืน M1 Garand มีคุณสมบัติในการยิงแบบกึ่งอัตโนมัติ ความแม่นยำสูง สามารถเล็งยิงซ้ำได้อย่างรวดเร็ว ตอนแรกนายการ์แรนด์ได้ออกแบบปืน M1 Garand ให้ใช้กับกระสุนขนาด 7×51 มิลลิเมตร (.276 Pedersen) และสามารถบรรจุในคลิปกระสุนได้ 10 นัด แต่เมื่อกองทัพสหรัฐฯรับมาพิจารณาใน ค.ศ.1932 ก็มีคำสั่งให้ใช้กระสุน .30-06 ทำให้ความจุเหลือเพียง 8 นัด และรับเข้าประจำการเมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1936 ให้ชื่อเป็นทางการว่า United States Rifle, Caliber .30, M1 และเข้าประจำการในกองทัพบกเป็นหน่วยแรก ภายหลังได้มีการพัฒนาอุปกรณ์พิเศษ เช่น กล้องเล็ง เครื่องยิงลูกระเบิด ดาบปลายปืน รวมถึงการพัฒนาในโครงการต่างๆเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของปืนรุ่นนี้ เช่น การพัฒนาให้สามารถใช้ซองกระสุน 20 นัดของปืนเล็กกล Browning Automatic Rifle (BAR) ได้ในโครงการ T20 
ปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯได้ปลดประจำการปืน M1 Garand ทั้งหมดและประจำการด้วยปืนเอ็ม 16 แทน โดยปืนบางส่วนทางการสหรัฐฯได้มอบให้แก่กองกำลังท้องถิ่นและมิตรประเทศตามโครงการให้ความช่วยเหลือทางทหาร (JUSMAG) ในช่วงสงครามเย็นซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย โดยประเทศไทยได้รับมอบปืนรุ่นนี้สำหรับใช้ในภารกิจปราบปรามและรักษาความสงบภายในประเทศ ก่อนจะทยอยปลดประจำการเป็นอาวุธสำรองราชการและใช้เป็นปืนฝึกท่าอาวุธสำหรับนักศึกษาวิชาทหารในภายหลัง

ปืน M1 Garand
ปืน M1 Garand พร้อมคลิปกระสุนแบบ en bloc
ปืน M1 Garand
ชนิดปืนเล็กยาวจู่โจม
สัญชาติFlag of the United States USA
สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
การใช้งานอาวุธประจำกาย
เป้าหมายบุคคล
เริ่มใช้1939
ช่วงผลิต1936-1957
ช่วงการใช้งาน1936-1957
ผู้ใช้งาน
สงครามสงครามโลกครั้งที่ 2, สงครามเกาหลี, สงครามเวียดนาม
ขนาดลำกล้อง0.30 นิ้ว (7.62 มิลลิเมตร) 4 เกลียว เวียนขวา
ระยะครบรอบเกลียว10 นิ้ว (1:10)
ความยาวลำกล้อง24 นิ้ว (609.6 มิลลิเมตร)
กระสุน.30-06 Springfield
ซองกระสุนแบบ En Bloc ความจุ 8 นัด
ระบบปฏิบัติการขับดันด้วยก๊าซ (Gas-operated) ขัดกลอนด้วยลูกเลื่อนหมุนตัว (Rotating Bolt)
อัตราการยิง
ความเร็วปากลำกล้อง2,800 ฟุต/วินาที (853 เมตร/วินาที)
ระยะยิงหวังผล440 หลา (402 เมตร)
ระยะยิงไกลสุด3,450 หลา (3,200 เมตร)
น้ำหนัก9.5 ปอนด์ (4.31 กก.) น้ำหนักปืนเปล่า
11.6 ปอนด์ (5.3 กิโลกรัม) น้ำหนักปืนพร้อมกระสุน
ความยาว43.5 นิ้ว (1,107.4 มิลลิเมตร)
แบบอื่นM1C, M1D

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประวัติปืน M16

ประวัติปืน M16


ชนิด ปืนเล็กยาวจู่โจม (Assault Rifle)
สัญชาติ สหรัฐอเมริกาสมัย สงครามเวียดนาม - ปัจจุบันการใช้งาน
อาวุธประจำกายเป้าหมาย บุคคล เริ่มใช้ พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1967)
ช่วงผลิต พ.ศ. 2500 - ปัจจุบัน ช่วงการใช้งาน พ.ศ. 2503 - ปัจจุบัน
ผู้ปฏิบัติการ NATO สงคราม : สงครามเวียดนาม, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามอิรัก

ปืน M16/M4
จากบนล่าง ปืน M16A1 , M16A2 , M4A1 และปืน M16A4
ประวัติปืน M16 นี้พัฒนาขึ้นโดยกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1950 ขณะที่ได้นำไปประเดิม ใช้เป็นครั้งแรกในสงครามเวียดนาม ซึ่งแต่เดิมนั้น ปืน M16 ออกแบบและผลิตโดยบริษัทอาร์มาไลต์ (Armalite) ในปีค.ศ. 1958 โดยเรียกว่าปืนรุ่นนี้ว่า AR-15 สำหรับปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AR-15 นี้เป็นปืนไรเฟิลซ้อมยิงที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาใน ปัจจุบันมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปืน M16 ในปัจจุบันนี้ ต่อมาเมื่อบริษัท Armalite ได้ขายแบบ พิมพ์เขียวปืน AR-15ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) ปืน AR-15 ก็ได้รับการพัฒนาต่อมา เป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปีค.ศ. 1964 ส่วนทางกองทัพบกสหรัฐฯ ก็ได้นำปืน M16 มาพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1ซึ่งได้เพิ่มระบบคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) เข้ามาและเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหมว่า ”"US Rifle, 5.56mm, M16A1″ ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16ในรูปแบบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก ต่อมาในปีค.ศ. 1981 บริษัทโคลต์จึงได้พัฒนาและปรับ ปรุงปืน M16A1 จนออกมาเป็นปืน M16A1E1 เพื่อรองรับกระสุนขนาด 5.56×45 mm. NATO รุ่นใหม่คือกระสุน M855 หรือ SS-109 ของบริษัท FN ซึ่งมีความแม่นยำและอานุภาพมากกว่าเดิม จนในปีค.ศ. 1982 หน่วย US Department of Defense (US DoD)จึงได้บรรจุปืนM16 รุ่นนี้ เข้าประจำการและเรียกในชื่อใหม่ว่า ”US Rifle, 5.56mm, M16A2″ ซึ่งปืน M16A2 นี้สามารถ ยิงไดเพียง 2 รูปแบบ คือแบบกึ่งอัตโนมัติ(Semi-Auto)ครั้งละ 1 นัด/ครั้ง และแบบอัตโนมัติ ชุดละ 3 นัด (Burst Auto)โดยมีคันบังคับการยิงให้จัดเลือกอยู่ทางด้านซ้ายเหนือด้ามปืน ซึ่ง ต่างจากปืน M16A1 ตรงที่แบบอัตโนมัติของรุ่น A1 จะเป็นแบบอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto) กล่าวคือปืนจะทำการยิงตามวงรอบการทำงานไปเรื่อยๆจนกว่าผู้ยิงจะเลิกเหนี่ยวไกปืนหรือจนกว่า กระสุนจะหมดซองกระสุน มิใช่ยิงเป็นชุดเพียง 3 นัดเท่านั้น ไม่ว่าผู้ยิงจะเหนี่ยวไกค้างไว้หรือไม่ก็ตาม ในปีค.ศ. 1994 ทางบริษัทโคลต์ได้มีการปรับปรุงสมรรถภาพของปืน M16A2 อีกครั้งเป็นรุ่น A3 และ A4 ตามลำดับ โดยปืน M16A3 นั้นสามารถยิงได้สองโหมดคือ ยิงทีละนัด (Semi-Auto) และยิงอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto)เท่านั้น ส่วนปืน M16A4 นั้นจะยิงได้สองโหมดนี้คือ โหมดยิงที ละนัด (Semi-Auto) และแบบอัตโนมัติชุดละ3นัด (Three-Burst Auto) โดยรุ่น A4 มีลักษณะ ภายนอกคล้ายกับ A2 และ A3 ทุกประการ เพียงแต่สามารถถอดด้ามหูหิ้ว (Flat Top Receiver) ออกเพื่อใช้ราง Picatinny ในการติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆได้ ในขณะที่รุ่น A2 และ A3 จะเป็นแบบ ติดตั้งตายตัว ในช่วงทศวรรษ 1980 ปืนกลเบา M60 จะถูกแทนที่ด้วยปืนกล SAW M249 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 5.56×45 mm. NATO รุ่น M855 เช่นเดียวกับปืน M16A2 เพื่อเพิ่มอานุภาพของอาวุธและลด ภาระในการจัดส่งกระสุนและเสบียงเข้าสู่สนาม รบของหน่วยพลาธิการ ครั้นถึงทศวรรษ 1990 ปืน M16A2 จำนวนมากเริ่มถูกแทนที่ด้วยปืน M4 Carbine ซึ่งปรับปรุงมาจากปืน M16 เพื่อเพิ่มสมรรถนะและความคล่องตัวกับการรบในที่แคบหรือในอาคารต่างๆ ชิ้นส่วนต่างๆของปืน M16 ผลิตขึ้นจากกรรมวิธีต่างๆดังนี้ ปลอกลดแสง ลำกล้อง โครงปืน และชิ้น ส่วนในระบบลั่นไกผลิตด้วยวิธีการขึ้นรูปด้วยกระบวนการForging จากวัสดุเหล็กกล้าผสมอะลูมิเนียม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อนและมีความทนทานต่อการใช้งานสูง ส่วนพานท้ายและฝา ครอบลำกล้องทำจากวัสดุโพลิเมอร์ไฟเบอร์ทนความร้อน ทำให้ปืน M16 รุ่นแรกๆ นั้นมีน้ำหนักเบา เพียง 3.60 กิโลกรัมเท่านั้น (น้ำหนักปืนพร้อมซองกระสุนขนาด 30 นัด) ซึ่งเบากว่าปืนเล็กยาวจู่ โจมรุ่นก่อนๆอย่างปืน M14 ในขณะที่ปืนอาก้า (AK-47) จากรัสเซียที่นิยมกันในกลุ่มประเทศคอม มิวนิสต์ในเวลานั้นมีน้ำหนักถึง 4.30 กิโลกรัม แต่ปืน M16 รุ่นหลังจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 3.77 จากการ ออกแบบให้ลำกล้องและโครงปืนมีความหนามากขึ้นเพื่อรองรับการใช้ งานกระสุน 5.56 มม. แบบ M855 (SS-109) จึงทำให้น้ำหนักมากตามไปด้วย โดยตั้งแต่ปืน M16A2 เป็นต้นไปจะมีการออก แบบให้ปลอกลดแสงมีรูระบาย 5 รูเพื่อให้แรงดันก๊าซกดปากกระบอกมิให้เชิดหัวขึ้นเวลาทำการยิง เพื่อความแม่น ยำสูงขึ้น รวมทั้งมีความยาวของปืนเพิ่มเป็น 40 นิ้ว (1.06 เมตร) มีลำกล้องยาว 20 นิ้ว(508 มิลลิเมตร)
ปืน M16A1 ครับ พัฒนาต่อมากจากปืน AR-15 ของบริษัทอามาไลต์ (Armalite) โดยบริษัทโคลต์ (Colt Firearms ,USA) และฟาบริก นาซิอองนาล (Fabrique Nationale ,Belgium) ใช้กระสุน ขนาด 5.56×45 mm. NATO (.223 Remington) ใช้ระบบ Gas-operated, Rotating bolt อัตราการยิง 750 นัด/นาทีสำหรับรุ่น A1 และ 900 นัด/นาทีสำหรับรุ่น A2 ความจุ 20/30 นัดสำหรับ แมกกาซีนมาตรฐาน และ 100 นัดสำหรับแมกกาซีนแบบ Drum ***รูปแรก ปืน M16 รุ่นแรกผลิตออกมาในปี 1965 ใช้ปลอกพรางแสงแบบ Duckbill ซึ่งเป็นเพราะ ยังออกแบบโดยใช้ปืน AR-15 เป็นหลัก

รูปแรก ปืน M16A1 ผลิตออกมาในปี 1967 ใช้ปลอกพรางแสงแบบ Bird cage รุ่นนี้นำมาประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯ แทนที่ปืน M14A1 ส่วนปืน M16 จะประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯ


ปืน M16A1 ติดปืนยิงลูกระเบิด M203 ครับ


ปืน M16A2 ต้องบอกก่อนนะครับว่ารุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับกับกระสุนแบบใหม่คือ M855 หรือ SS109 ซึ่งมาแทนที่กระสุนแบบ M193 ของเดิม และแก้ไขข้อผิดพลาดบางอย่างของรุ่น A1 ด้วย สำหรับรุ่น A2 จะมี 3 โหมดคือ Safe > Semi > Burst ซึ่งในรุ่น A4 ก็จะเป็นแบบนี้ด้วยเช่นกัน ส่วนรุ่น A1 และ A3 จะเป็นแบบ Safe > Semi > Auto ครับ

ปืน M16A3

ปืน M16A4
ด้ามหูหิ้ว (Flat Top) ของปืน M16 รุ่น A3 และ A4 สามารถถอดออกเพื่อติดตั้ง Accessories ต่างๆได้ครับ
- See more at: http://www.phetvariety.com/?p=5871#sthash.zC6YNBEQ.dpuf

ประวัติ M1911

ประวัติปืน M1911 A1




ผมได้สัมผัสและรู้จักกับปืนพก M1911 A1หรือ ปพ.86 มานานพอสมควร ทหารหลายท่านก็พอสัมผัสกับปืนชนิดนี้มาบ้างแล้ว บางคนไม่รู้เลยว่าปืนชนิดนี้มาได้อย่างไร ประวัติของปืนชนิดนี้เป็นอย่างไร ผมจะขอเล่าประวัติคราว ๆ นะครับ ระหว่างปี 1899 - 1913 สหรัฐฯ ได้เข้าสงคราม Philippin American War หลังจากที่สเปนแพ้สงครามแก่สหรัฐฯ แล้วต้องยกเมืองขึ้นให้กับสหรัฐ และประเทศฟิลิปปินส์ ก็เคยเป็นเมืองขึ้นสเปนมาก่อน สหรัฐต้องการขยายอำนาจมาทางเอเซียแปซิฟิกอยู่แล้ว ก็ได้ทำการยกกำลังเข้าสู่ฟิลิปปินส์ แน่นอนชาวฟิลิปปินส์บางส่วนก็ยังภักดีต่อสเปน นั้นก็คือชาว Moro และชาว Moro ก็ยังได้รับการสนับสนุนเรื่องอาวุธจากสเปนแบบลับๆอีกด้วย


การรบในฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นการรบในป่า โอกาสใช้ปืนพกจึงมีมาก ในขณะนั้นกองทัพบกสหรัฐ ได้ใช้ปืนพกที่ใช้กระสุนขนาด .38 Long Colt คู่กับปืนลูกโม่ หรือไม่ก็ปืนพก Auto M1900 กับกระสุนขนาด .38ACP ซึ่งเมื่อนำเข้าสงครามครั้งนั้น ถึงได้รู้ว่า อำนาจหยุดยั้งของกระสุน .38 ไม่เพียงพอ จะเอา Colt.45 SAA สมัยเมื่อใช้ยิงอินเดียนแดง ก็ไม่เหมาะสม เพราะบรรจุกระสุนน้อย และช้า

ทางกองทัพบกสหรัฐฯ เลยต้องการปืนที่บรรจุกระสุนได้มาก และรวดเร็ว กระสุนที่ใช้ต้องมีขนาด .45 โครงการปืนพก Auto จึงเกิดขึ้น ซึ่งความจริงแล้วกองทัพก็มีปืนพก Auto ประจำการอยู่แล้ว และมีการนำเอาM1900 .38 ACP มาปรับปรุงให้ใช้กับกระสุนขนาด .45 ACP ไปพลางๆก่อน คือรุ่น M1907แต่ปืนก็มีปัญหาในการใช้งาน ไม่ทนทาน

นายJohn M. Browning ซึ่งเป็นนักออกแบบปืน เลือกระบบการทำงาน Short Recoil และกระสุนขนาด .45 ACP ( .45" Autometic Colt Pistol ) ซองกระสุน หรือแม็กกาซีนบรรจุได้ 7 นัด
ต้น แบบตัวแรกเสร็จในปี 1910 แต่กองทัพให้ทำการปรับปรุ่งในเรื่องระบบความปลอดภัยของปืน เพิ่มนอกจากมีระบบความปลอดภัยทั้งระบบเซฟล็อกไก และล็อกนกสับ ด้านข้างตัวปืนแล้ว ตัวต้นแบบตัวที่ 2ได้เพิ่มระบบเซฟหลังอ่อน ที่ตัดสพานไกปืนไม่ให้ทำงาน หากกำปืนไม่แน่ด้วย และร่องรับนกตกเข้าไปอีกต้นแบบตัวที่ 2 จึงได้รับเลือก และกองทัพสั่งซื้อเข้าประจำการทันที

กระสุน .45ACP มีอำนาจหยุดยั้งสูงมาก วิถีกระสุนราบเรียบ ทำให้ยิงได้แม่นยำ กระสุน .45 ACPได้รับขนานนามว่า Dum Dum Bullet เพราะมันสามารถหยุดยั้งฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่นัดแรก หรืออย่าง
มากไม่เกิน 2 นัด M1911 จึงเป็นปืนที่ออกแบบเพื่อกระสุนชนิดนี้อย่างแท้จริง

เมื่อ M1911 และกระสุน .45 ACP เข้าไปรวมรบเป็นปืนพกคู่กายของทหารสหรัฐ มันสามารถหยุดบรรดานักรับ Moro ที่ใส่เสื้อเกาะที่สานด้วยไม้ไผ่ ใช้ปืน Mauser M98 พร้อมดาบปลายปืน หรือใช้ง้าว คือ ดาบที่ใส่ด้ามของหอก ซึ่งยาวมาก ไม่ให้เข้ามาถึงตัวทหารสหรัฐฯในระยะประชิดได้ดีมาก กระสุน .45ACP สามารถทะลุเกระไม้ไผ่ได้ เพราะด้วยมวลของหัวกระสุนที่มาก หน้าตัดกระสุนที่ใหญ่ ทำให้ผู้ถูกยิงหมดสภาพการเคลือนที่ได้ทันที และ M1911 เป็นปืนที่มีขนาดเหมาะสม มีความแบนทำให้พกพาง่ายและใช้ได้คลองตัว ยิงซ้ำได้รวดเร็ว M1911 จึงได้เข้ารวมรบในฐานะปืนพกประจำกายกองทัพสหรัฐฯ จากนั้นมา




M1911 ได้เข้าเป็นปืนพกประจำกายต่อในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ทางกองทัพได้พบจุดบกพร่องในM1911 ช่วงที่ใช้ในสงคราม หลังจากสงครามจบสิ้น ทางกองทัพได้ทำรายงานส่งให้กับหน่วยสรรพวุธคือ ศูนย์เล็งมีขนาดเล็กเกินไป เมื่อยิงที่ระยะเกินกว่า 8 เมตร กระสุนกินต่ำ และมีปัญหาเมื่อใช้ปืนในที่อากาศหนาวจำเป็นต้องใช้ถุงมือ เอานิ้วเข้าโกงไกปืนได้ลำบาก ทางสรรพวุธจึงได้ทำการส่งข้อมูลให้ผู้ผลิต M1911 แก้ไข

M1911 จึงทำการแก้ไขปัญหาต่างๆตามที่สรรพาวุธสหรัฐแจ้งมา โดยทำการขยายความกว้างของศูนย์หน้าและล่องบากของศุนย์หลัง โครงด้ามหลังโกงไกปืนทำการปาดเนื้อส่วนนั้นออกไป และลดความยาวของหน้าไกให้สั้นลง แก้ปัญหาเมื่อต้องใช้ถุงมือ ส่วนเรือนสปริงนกสับที่เคยเป็นแบบหลังตรง ก็เป็นเป็นแบบหลังโค้งแทน เพื่อแก้ปัญหากระสุนกินต่ำ เปลี่ยนหลังอ่อนเป็นแบบหางยาว และลดวามยาวนกสับลงไม่ให้จิกง้ามมือ และไม่เกียวเสื้อเวลาชักปืน ทำการเปลี่ยนประกับด้ามจากที่ใช้ไม้เป็นวัสดุสังเคราห์ และปรับผิวปืนให้เป็นสีด้าน เพื่อลดแสงสะท้อน ปืนตัวปรับปรุงใหม่นี้เข้าประจำการแทน M1911 ในปี 1924 และได้ระหัสใหม่ว่า M1911A1 ถือว่าเป็นปืนรุ่นเดิมที่ทำการปรับปรุงนั้นเอง

เปรียบเทียบ M1911 และ M1911A1


M1911A1 ถือว่าเป็นปืนที่ประจำการนานที่สุดในโลกตัวหนึ่ง คือตั่งแต่ปี 1924 ยาวมาจนถึง ปี 1984ในช่วงโลงครามโลกครั้งที่ 2 มีการผลิตออกมากว่า 1.7 ล้าน กระบอก แต่หากนับรวม M1911 และ M1911A1ผลิตตั่งแต่ปี 1911 จนถึงปี 1984 M1911 ผลิตทั้งหมดกว่า 2.7 ล้าน กระบอก นอกจากเจ้าของคือ Colt แล้ว ยังมีผู้ผลิตที่ได้สิทธิบัตรถูกต้องเมื่อครั้งผลิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีดังนี้
1 Springfield Armory
2 Remington
3 Ithaca Gun Company
4 Union Switch & Signal
5 Singer

โดย ผู้ผลิตมากที่สุดคือ Remington ผลิตถึง 900,000 กระบอก มากกว่า Colt ถึง 3 เท่า ส่วน M1911A1ที่กลายเป็นของสะสม และเป็นของที่มีราคาแพงมาก ราคาปัจจุบันในสภาพสวยๆสุงกว่า 3,000 $ คือ M1911A1 ที่ผลิตจากบริษัท Singer (ซิงเกอร์) เพราะผลิตมาเพียง 500 กระบอกเท่านั้น เป็น M1911A1 ทางทหารที่ผลิตได้ประณีตมาก

       คำว่า “Colt” เชื่อได้ว่านักนิยมปืนทั่วโลกต้องรู้จักในฐานะผู้ผลิตปืนสั้นอันมีชื่อเสียง ต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคที่ใช้ปืนใช้กระสุนดินดำจนถึงปัจจุบัน จากปืนลูกโม่ Single Action (Colt Walker) มาถึง Single Action Army  ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ 1911 (M-1911 หรือ Government Model) ตลอดจนลูกโม่ดับเบิล (Python) แม้แต่ปืนสั้นลูกกรด (Colt Woodsman) ล้วนเป็นปืนมีระดับที่นักสะสมใฝ่หากันมาก

      ในปีที่ Colt ฉลองครบรอบ 150 ปี เป็นปีที่ปืน 1911 ปลดระวางจากกองทัพสหรัฐอเมริกา จากศตวรรษ 1800, 1900 Colt เข้าสู่ศตวรรษที่สามคือ 2000 แบบไม่ค่อยมั่นคงนัก ถ้าเป็นคนก็เหมือนเข้าสู่วัยชราแบบไม้ใกล้ฝั่ง แต่ในทางตรงกันข้าม หลังจากที่สิทธิบัตรคุ้มครองปืน 1911 หมดอายุไป 1911 กลายเป็นตัวเก่งให้หลายๆบริษัทสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นใหม่ได้

Colt M-1911 World War I Replica (.45 ACP)

Colt 1911 World War I Replica เป็นปืนที่ Colt ทำส่งให้กับกองทัพสหรัฐอเมริกาเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 1914 ถึง 1918

Colt M-1911 A1 (.45 ACP)
Colt 1911 A1 เป็นปืนที่กองทัพสหรัฐเคยใช้เป็นปืนประจำการและเคยถูกใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2

คำ ว่า 1911 คืออะไร 1911 เป็นปีที่ Colt ผลิตปืนกึ่งอัตโนมัติ ผลิตให้กับทหารสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่ 1 ตั้งแต่ปี 1914 ถึง 1918 และ Colt ได้จดสิทธิบัตรปืนกึ่งอัตโนมัติไว้ว่าห้ามลอกเลียนแบบ

คำว่า 1911 คือชื่อของแบบแผนปืนกึ่งอัตโนมัติที่ Colt ได้จดสิทธิบัตรไว้ หลังจากสิทธิบัตรคุ้มครองแบบแผนปืน 1911 สิ้นสุดลง ในช่วงปี ค.ศ. 1985 หลายบริษัท เลยหันมาผลิตปืนแบบ 1911 กันจำนวนมาก

Colt M-1911 A1 (.45 ACP)

เมื่อ เอ่ยถึง Colt 1911 ผู้ที่รู้จักหรือคุ้นเคยกับอาวุธปืนอยู่บ้าง ย่อมจะนึกถึงปืนสั้นออโต้แบบกัฟเวอร์นเมนท์โมเดล ขนาด .45 ACP ของโรงงาน Colt กันแทบทุกคน โดยเฉพาะท่านที่เป็นทหารรุ่นเก่าของไทยย่อมจะต้องรู้จักคุ้นเคยเป็นพิเศษ เนื่องจากปืน Colt ออโต้โมเดลนี้มีชื่อเสียงกิติศัพท์อันเกรียงไกรมาจากพื้นฐานซึ่งเป็นปืนทหาร มาก่อน นับตั้งแต่กองทัพบกของสหรัฐอเมริกาเข้ารับประจำการในปี ค.ศ. 1911 จึงเป็นที่มาของคำว่า “โมเดล 1911” หลังจากผ่านการทดสอบของกองทัพมาเป็นเวลาเกือบห้าปี

ต่อมา ปืนโคลท์ กัฟเวอร์นเมนท์ โมเดล 1911 ได้รับการปรับปรุงอีกเล็กน้อยในทศวรรษแห่งปี 1920 จึงได้เปลี่ยนเป็น “โมเดล 1911 A1” นับตั้งแต่นั้นมา

ด้วยเหตุ ที่ปืนโมเดล 1911 ที่กองทัพสหรัฐฯ แจกจ่ายให้ทหารของตน หรือส่งไปช่วยเหลือกองทัพประเทศพันธมิตร มีอักษรข้อความว่า UNITED STATES PROPERTY อยู่ทางด้านซ้ายของโครงปืน

และโดยเฉพาะมีอักษรบอกข้อความอยู่ทางด้านขวาของโครงปืนว่าMODEL OF 1911 U.S. ARMY หรือ NAVY แต่ส่วนมากจะเป็น U.S. ARMY จึงทำให้นักเลงปืนชาวบ้านทั่วไปพากันเรียกปืนโมเดลนี้ว่า “ปืนยูเอส อาร์มี” หรือ “ยูเอส” เฉยๆ หรือไม่ก็เรียกว่า ปืนขนาดสิบเอ็ด ตามขนาดของปืนหรือกระสุนที่ใช้ยิงไปเสียเลย

สาเหตุที่ผู้ใช้ปืนบ้านเรานิยมเรียกกระสุน .45 ACP ว่า 11 มม.

เพราะ ยังยึดติดไปตามระบบเมตริกของกระสุนปืนจากยุโรปอยู่ จึงไม่ค่อยได้เรียกกันว่าขนาดจุดสี่ห้าสักเท่าใดนัก หากกล่าวถึงปืนออโตแบบ 1911 โดยทั่วไปแล้ว คนส่วนมากก็จะนึกถึงปืนขนาด .45 เอซีพี ทั้งๆ ที่โคลท์ก็ผลิตปืนโมเดลนี้ออกมาในขนาด .38 Super และ 9mm Luger ด้วย แต่เป็นเพราะคนรู้จักคุ้นเคยกับปืนขนาด .45 ACP มาก่อนนั่นเอง

อย่าง ไรก็ตาม นักเล่นปืนในบ้านเราก็ให้ความนิยมปืน Colt 1911 ขนาด .38 Super รองลงมาจากขนาด .45 เอซีพี หรือ 11 มม.สาเหตุหลักมาจากการขอใบอนุญาต ป.3 สำหรับปืนขนาด .38 ได้ง่ายกว่า

แต่ปัจจุบันนักยิงปืนระบบไอพีเอสซี นิยมใช้ปืนออโต้ 1911 ขนาด .38 Super ยิงแข่งขัน ปืนขนาด .38 Super จึงได้รับความนิยมขึ้นมาใกล้เคียงกับปืนขนาด .45 ACP นอกจากนี้กระแสความนิยมในปืนสั้นออโตวันเดอร์ไนน์มีส่วนช่วยเสริมให้เกิด ความนิยมปืนออโต้ 1911 ในขนาด 9 มม. ไปด้วย แต่ปืนออโต้ 1911 ขนาด 9 มม. นี้มีวางจำหน่ายอยู่ไม่มาก เพราะร้านขายปืนของไทยไม่ค่อยสั่งเข้ามา ทั้งๆแต่เดิมบริษัทโคลท์ก็ผลิตปืนออโต้ 1911 ในขนาด 9 มม. ลูเกอร์มานานแล้ว


เมื่อ ประมาณ 20-30 ปีก่อนหน้านี้ ผู้เขียน Colt Combat Commander ขนาด .38 Super และ 9 มม. มีวางจำหน่ายอยู่ประปรายบ้าง ในปัจจุบันปืนออโต้ 1911 ขนาด 9 มม. เริ่มสั่งเข้ามาขายมากขึ้นทั้งที่เป็นแบบลูกดกและลูกไม่ดกแต่เป็นปืนยี่ห้อ อื่นมากกว่า ยี่ห้อโคลท์เจ้าเก่าหรือเจ้าตำรับยังสั่งเข้ามาน้อย จนแทบจะเรียกว่าหายากส่วนมากจะเห็นเป็นปืนมือสองคราวนี้หันมาดูปืนออโต้ 1911 ของโคลท์กันบ้าง หลังจากมีการปรับปรุงเป็นรุ่น 1911A1 ก็มีการเปลี่ยนแปลงบูชลำกล้องจากรูปทรงกระบอกทึบไปเป็นแบบกลีบจำปาในปี 1970 เรียกว่า Series 70 และได้เพิ่มตัวกั้นเข็มแทงชนวน หรือสมอล็อกเข็มแทงชนวนเข้ามาอีกเมื่อปี 1980 เรียกว่า Series 80 แต่ปัจจุบัน แม้ว่าปืน Colt 1911A1 จะเปลี่ยนแปลงโฉมภายนอกให้เหมือนปืนซิ่งมากขึ้นตามกระแสความนิยมซึ่งก็ยัง เรียกว่าเป็น Series 80

Colt M-1991A1 (.45 ACP)

ใน ปี 1991 โคลท์ได้ผลิตปืน Model 1991A1 ขึ้นมา ซึ่งฟังดูแล้วน่าจะเป็นการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ของปืนโคลท์ 1911 แต่กลับเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีหรือรูปแบบการผลิตเสียมากกว่า คือการแต่งผิวโลหะค่อนข้างด้านแบบปืนทหาร และรมออกสีเขียวๆอยู่บ้าง ส่วนหนึ่งที่เน้นคือราคาประหยัดมากขึ้นเพราะในช่วงเวลานั้นราคาของปืนโคลท์ ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ ว่ากันว่าเหล็กที่ใช้ทำปืนออโต้ 1991A1 ของโคลท์เป็นเหล็กที่มีคุณภาพแข็งแกร่งทนทานอย่างเดียวกับที่ใช้ทำปืนทหารมา ก่อน ดังนั้น จึงพออนุมานได้ว่า Colt 1991A1 เป็นปืนที่เน้นไปทางด้านการใช้งานสมบุกสมบันมากกว่าความสวยงามสะดุดตา นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากปืน Series 80 ของ Colt เอง ด้วยเหตุนี้จึงมีนักนิยมปืนที่มองเห็นข้อดีของ Colt 1991A1 แล้วซื้อมาแต่งซิ่งตามที่ใจชอบ อีกประการหนึ่งทางโรงงาน Colt โฆษณาว่า Colt 1991A1 เป็นปืนที่ถ่ายทอดลักษณะดั้งเดิมของ Colt 1991A1 มาเกือบทุกกระเบียด แต่มีทั้งแบบ Government Model กับแบบ Commander และมีทั้งทำด้วยเหล็กรมดำและเหล็กสเตนเลสส์ ช่วยให้ผู้ใช้ปืนที่นิยมปืนรุ่นเดิมๆ มีโอกาสเลือกได้บ้าง

Colt Gold Cup

โมเดล แรกที่โรงงาน Colt ทำออกมาเพื่อยิงเป้าคือ Colt National Match แตกต่างจากปืนสายยิงคนคือ เลิกเอาลำกล้องที่คัดพิเศษ โดยมีหลักการว่า จำนวนหนึ่งพันลำกล้องของล็อตนี้ สองร้อยลำแรกเครื่องจักรยังไม่เสถียร เพิ่งเริ่มเดินเครื่องก็เอาไว้เป็นลำกล้องยิงคน สามร้อยถึงเจ็ดร้อยอันต่อมาถือว่าเครื่องจักรเดินนิ่งดีแล้วก็คัดเอาไว้ก่อน สามร้อยอันสุดท้ายของล็อตก็จัดไปเข้ากลุ่มลำใช้งานทั่วไปที่คัดมาดีๆนั้นมา เลือกเอาเรียบร้อยที่สุดไว้สักสองร้อยอันเพื่อมาประกอบกับลำเลื่อนที่ทำขึ้น ต่างหากโดยเจาะรูเจาะช่องให้ประณีตกว่ามีสันลำกล้องให้เป็นแนวเล็งนำสายตา และเซาะร่องละเอียดกันแสงสะท้อน ใส่ศูนย์หลังแบบปรับได้สี่ทาง ใบศูนย์ใหญ่เล็งง่าย รุ่นแรกๆมีศูนย์สองยี่ห้อ คือ แอคโคร และ เอดิสัน ศูนย์หน้าเป็นแบบยกสูงตัดฉากหลังต่างจากศูนย์รูปวงเล็บ จุ๋มจิ๋มของปืนสายยิงคน บูชลำกล้องและหลอดครอบสปริงทำมาเป็นพิเศษ โดยหลอดครอบสปริงตรงปลายจะเป็นลาดเอียงหรือเทเปอร์ เพื่อให้รับกับบู้ชลำกล้องที่ทำลาดเอียงไว้รับกัน เพื่อให้ล็อคลำกล้องนิ่งกว่าปกติ ซึ่งทำเป็นบ่าไว้เฉยๆ ไกก็ทำหน้ากว้างกว่าปกติ มีหมุดหยุดไกปรับได้ละเอียดมากด้วย นอกนั้นนกและหลังอ่อนก็ยังเหมือนปืน Government แต่จะทำผิวรมดำมาชนิดดีพบลูสวยงามกว่า เพราะแน่นอนละว่า ปืน National Match ขายราคาแพงกว่าโขอยู่ และเมื่อลงสู่สนามแข่งขัน มันก็ประสบความสำเร็จงดงาม จน Colt ผลิตรุ่นต่อๆมา โดยเพิ่มคำว่า ถ้วยทอง หรือ Gold Cup สาไว้หน้าชื่อ National Match Colt Gold Cup National Match เป็นความภาคภูมิใจของ Colt ในฐานะเป็นเหมือนเรือธง เป็นปืนในระดับสูงของปืนสาย 1911 ในขณะที่ปืนรีวอลเวอร์ Colt Python (.357 Magnum)
ได้รับการวางตัวไว้ในระดับสูงสุดเช่นเดียวกัน ทั้งสองรุ่นนี้ กล่าวได้ว่า Colt ผลิตขึ้นเพื่อการโชว์ฝีมือของผู้นำในวงการผลิตอาวุธปืน เพื่อเป็นการประกาศศักยภาพให้คู่แข่งสำคัญคือ Smith & Wesson ได้ตระหนักว่า ศักดิ์ศรีของการเป็นผู้นำ มิใช่ได้มาเพราะโชคช่วยปืน National Match รุ่นแรกๆ มีเข้ามาในเมืองไทยอยู่พอสมควร ครั้งกระโน้นสามสิบปีกว่าได้ ห้างปืนที่เป็นตัวแทนสั่งเข้ามาคละกับ Government คราวละไม่มาก เพราะเป็นปืนที่จับตลาดบน ชาวบ้านทหารตำรวจทั่วไปก็ไม่ซื้อเพราะแพงกว่าหลายพันอยู่ สมัยที่ Government ไม่ถึงหมื่นบาท แต่ Colt National Match ทะลุหมื่นขึ้นไป

ปัจจุบัน จะหา National Match ดูได้ยากมากแล้ว เพราะจะอยู่ในมือของนักยิงปืนระดับบนๆ เช่นนายทหารนายตำรวจ หรือพ่อค้าใหญ่เท่านั้น ซึ่งไม่ค่อยปรากฏว่ากลุ่มนี้จะขายปืนออกมาสู่ตลาดเหมือนชาวบ้านร้านช่อง เขาColt Gold Cup National Match มีวิวัฒนาการตามสายการผลิตของ Colt ขึ้นมาตามลำดับ เช่นเดียวกันกับสายปืนต่อสู้ปกติ โดยขยับมาเป็น Mark IV Series 70

ลำ กล้องอวบปลายรับกับบู้ชสปริงสี่ขา แต่ก็ยังคงเป็นเหล็กรมดำขลับอยู่เช่นเดิม แม้ว่าช่วงนี้โลกปืนจะเริ่มนิยมเหล็กสเตนเลสขาวๆแล้วก็ตาม ซึ่ง Smith & Wesson เป็นผู้จุดกระแสก่อนในโมเดล 60 ชีฟส์สเปเชี่ยล จนมาสู่ยุคเอจตี้ ปี 1980 Colt ก็พัฒนาขึ้นมาอีกขั้นโดยใส่นิรภัยเข็มแทงชนวนและก็เริ่มปรากฏปืน Colt Stainless ออกมาแล้ว ทั้ง ปืน Revolver ตระกูลงูพันธุ์ต่างๆของ Colt เช่น ไพธ่อน ไดมอนแบ็ค คอบร่า ไวเปอร์ และอนาคอนดา ยังมีโบอาอีกตัว ทั้งที่บนปืนก็ตีม้าผยองตามปกติ Gold Cup National Match Mark IV Series 80 ผลิตขึ้นหลังจากที่สิทธิบัตรคุ้มครองแผนแบบปืน 1911 ของ Colt หมดอายุลง ในช่วงปี ค.ศ. 1985 แถม Colt ยังเสียการเป็นผู้ผลิตปืนพกให้กองทัพสหรัฐอเมริกา โดย Beretta จาก Italy ได้ออเดอร์มหึมานี้ไปแทน และก็เกิดกระแส 1911 ฟีเวอร์ขึ้นมาอีกด้วยการลงตลาดของผู้ผลิตปืนรายเล็กใหญ่สารพัด ที่นำเอาแผนแบบของปืน 1911 ไปผลิตในนามยี่ห้อของตน ซึ่งทำได้ถูกกว่า และแพงกว่าหลากหลาย ทำเอา Colt โซซัดโซเซไปพักหนึ่ง แต่ศักดิ์ศรีผู้นำที่สร้างสมมานานปานนั้น ผีผู้เฒ่าซามูเอล โคลท์ ผู้เป็นต้นตำนานคงเข้าสิงคนรุ่นต่อมาให้ฮึดสู้ หลังจากตั้งหลักเป่าน้ำแล้ว Colt ก็ออกจากมุมมาสู้อีกตรา ด้วยประสบการณ์และชื่อเสียง Colt ยังคงยืนหยัดในตลาดได้อย่างทระนง แถมยังสำทับพวกรุ่นลูกรุ่นหลานที่แตกหน่อเสียอีกว่า ถ้าไม่ใช่ Colt มันก็เป็นแค่ของเลียนแบบเท่านั้น

Colt Gold Cup ปัจจุบันนี้สามสี่ปีหลัง ในตลาดบ้านเราที่มีให้เห็นจะเป็นรุ่นต่อมา ที่ Colt เรียกว่า รุ่น โทรฟี (Trophy) ซึ่งคล้ายว่า ทำเป็นที่ระลึกถึงเกียรติภูมิในอดีต เป็น Gold Cup หลังลำเลื่อนกลม และไกรูเหมือนกับปืนสายต่อสู้ทั่วไป ต่างแต่ติดศูนย์หน้าสูงรับกับศูนย์หลังยี่ห้อ โบมาร์ ซึ่งกลายเป็นศูนย์มาตรฐานในปืน 1911 แบบแมทช์เกรดแทบทุกยี่ห้อ และ Gold Cup Trophy ราคาล่าสุดที่บอกขายหน้าร้านเกินหลักหมื่นไปแล้วด้วย จะหา Colt Gold Cup National Match หลังเหลี่ยมไกร่อง ศูนย์เอลลิสัน สภาพใหม่เอี่ยมจากหน้าร้าน เป็นเรื่องที่ยากเท่างมเข็มในสระว่ายน้ำ ต้องออกแรงมากหน่อย หรือมีประกาศขายมือสอง ก็ดูให้ดี

ที่มาของคำว่า Government ในช่วงสงครามโลก รัฐบาลสหรัฐได้ให้บริษัทผลิตปืนได้ผลิตปืนในแบบ 1911 ขึ้นมา และมีเงื่อนไขว่าปืนทุกกระบอกต้องเหมือนกัน และสลับชิ้นส่วนกันได้ เลยเป็นที่มาของคำว่า Government หมายถึง ปืนของรัฐบาล และ ตั้งแต่สงครามสงบลง Colt จึงนำปืนมาออกจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไป หลังจากที่ทหารเท่านั้นที่นำปืนมาใช้ในการแข่งขันยิงเป้า ก็มากลายเป็นยุคของประชาชนที่นำปืนมาแข่งขันยิงเป้า ซึ่ง Colt ได้ตั้งชื่อปืนในตระกูล 1911 ว่า Colt Government หรือ Government Mode